1 | ไม่เห็นด้วย เป็นการถอยหลังเข้าคลอง แทนที่จะเดินหน้าต่อไป ความรอบรู้เชี่ยวชาญ ในเรื่องนี้สู้ตำรวจไม่ได้ ระบบดีแล้ว เพียงปรับแต่งบุคคลให้มีคุณธรรม. |
2 | การแก้ร่างกฎหมายเป็นการล้าหลัง ปกติฝ่ายปกครองก็ไม่เคยทำงานสอบสวนอยู่แล้ว พูดได้ว่าทำไม่เป็นดีกว่า แต่อยากสั่ง เอาอำนาจสอบสวนไปสั่งแย้งยิ่งทำให้วุ่นวายไปกันใหญ่ |
3 | เห็นควรยกเลิก ม145/1 เพราะการตรวจสอบถ่วงดุลควรให้หน่วยงานอื่นที่มิใช่หน่วยงานที่ทำสำนวนการสอบสวนสั่งฟ้องมาตรวจสอบเสียเอง และควรให้ฝ่ายปกครองทำสำนวนการสอบสวนและทำความเห็นทางคดีเองสำหรับความผิดตามกฎหมายบางฉบับที่อยู่ในอำนาจของฝ่ายปกครอง เนื่องจากจะเป็นการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนได้อย่างทั่วถึงรวดเร็วและเป็นธรรม |
6 | ด้วยชมรมพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครอง ได้สนับสนุนภารกิจของกรมการปกครองในทุกมิติ โดยเฉพาะในด้านการสืบสวนสอบสวนคดีอาญาเพื่ออำนวยความเป็นธรรมให้กับประชาชน ซึ่งในห้วงระยะเวลาที่ผ่านมา ชมรมพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครอง ได้ติดตามข่าวสารและร่วมแสดงความคิดเห็นในเรื่องสำคัญ ๆ เช่น ร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีอาญา พ.ศ. .... การสอบสวนคดีอาญาในอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครอง การที่พนักงานฝ่ายปกครองจับกุมปราบปรามผู้กระทำความผิดรายสำคัญในคดียาเสพติด คดีค้ามนุษย์ คดีการพนัน ฯลฯ รวมถึงการพัฒนาทักษะให้กับพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครอง (โครงการ DOPA SPECIAL AGENT) เป็นต้น ทั้งนี้ยังมีเรื่องสำคัญอีกประการหนึ่ง ซึ่งชมรมพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครองได้ติดตามมาโดยตลอดและได้ทราบอย่างเป็นทางการ ว่า กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้ดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (โดยเสนอขอยกเลิก มาตรา 145/1 ให้อำนาจการทำความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้อง ไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกา ฯลฯ ของพนักงานอัยการ กลับมาที่ผู้ว่าราชการจังหวัด) และขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็น ของผู้ที่เกี่ยวข้อง ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ผ่านทางเว็บไซต์ของกรมการปกครอง ตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563
ชมรมพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครอง จึงขอแสดงความคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การทำความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้อง ไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกา ฯลฯ ของพนักงานอัยการในทุกจังหวัดเป็นหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดมาโดยตลอด ตามหลักการ “ตรวจสอบถ่วงดุล” ซึ่งหลักการนี้เป็นหัวใจสำคัญในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 ต่อมาหลักการดังกล่าว ได้เปลี่ยนแปลงไปตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 115/2557 ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2557 แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 ให้เป็นอำนาจของผู้บัญชาการหรือ รองผู้บัญชาการ ซึ่งนอกจากจะไม่เป็นการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างพนักงานสอบสวนกับพนักงานอัยการอย่างเหมาะสมแล้ว ยังเป็นปัญหาและอุปสรรคหลายประการ ซึ่งกระทบต่อการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนโดยตรง
โดยเจตนารมณ์ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในเรื่องการทำความเห็นแย้ง ตามมาตรา 145 กฎหมายประสงค์ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งเป็นผู้บริหารสูงสุดในส่วนภูมิภาคในพื้นที่จังหวัด มีอำนาจหน้าที่โดยตรงตามกฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ที่ต้องดูแลให้มีการปฏิบัติและบังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยและเป็นธรรมในสังคม ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัด อยู่ในฐานะบุคคลที่มิได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียในผลแห่งคดี อันถือได้ว่าเป็นคนกลางระหว่างพนักงานสอบสวนกับพนักงานอัยการ ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้กำหนดให้อำนาจการสอบสวนและการฟ้องคดีเป็นอำนาจของรัฐ โดยให้อำนาจการสอบสวนอยู่กับพนักงานสอบสวนและอำนาจการฟ้องคดีอยู่กับพนักงานอัยการ โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นฝ่ายปกครองทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลการใช้ดุลพินิจคำสั่งไม่ฟ้อง ไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกา ฯลฯ ของพนักงานอัยการ ซึ่งเป็นการตรวจสอบถ่วงดุลตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพื่อให้คดีเกิดความยุติธรรมอันนำไปสู่ความเป็นธรรมในสังคมและเป็นที่ยอมรับของประชาชน
ซึ่งหลักการข้างต้นนี้เป็นความพยายามของระบบกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาทุกประเทศทั่วโลกที่จะต้องจัดความสมดุลระหว่างหลักการควบคุมอาชญากรรม (Crime Control Model) และหลักการควบคุมการใช้อำนาจรัฐ (Due Process Model) เพื่อให้เกิดการตรวจสอบถ่วงดุลอย่างเหมาะสม ป้องกันมิให้ใช้อำนาจตามอำเภอใจ อันจะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา แต่เมื่อมีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 ด้วยประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 115/2557 ฯ ซึ่งนอกจากจะเป็นการออกกฎหมายที่ไม่ผ่านการพิจารณาจากฝ่ายนิติบัญญัติแล้ว ยังไม่ได้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างรอบด้านอีกด้วย
นอกจากนี้ จะเห็นได้ชัดว่าคดีอาชญากรรมส่วนใหญ่ เป็นคดีร้ายแรงที่มีอัตราโทษสูง (เขตอำนาจศาลจังหวัด) มีผู้กระทำความผิดรายสำคัญและเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อย ของประชาชน โดยเจ้าพนักงานตำรวจเป็นผู้เริ่มต้นคดีและเป็นผู้ทำสำนวนการสอบสวนส่งความเห็นไปยังพนักงานอัยการก่อนที่จะนำคดีขึ้นสู่ศาล และหากพนักงานอัยการได้ใช้ดุลพินิจมีคำสั่งไม่ฟ้อง ไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกา ฯลฯ มาตรา 145/1 ให้อำนาจผู้บัญชาการหรือรองผู้บัญชาการ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ เป็นผู้ตรวจสอบคำสั่งของพนักงานอัยการอีกเป็นครั้งที่สอง ย่อมอาจเกิดความไม่เป็นกลาง ขัดกับหลักประกันความโปร่งใสของระบบการสอบสวนคดีอาญาและเป็นการทำลายหลักการตรวจสอบถ่วงดุลในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการให้มีการถ่วงดุลการใช้อำนาจรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ
ในภาพรวมของการศึกษาและการรวบรวมความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวได้มีหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านกฎหมายได้ทำการศึกษาและรวบรวม ความคิดเห็นต่อการบังคับใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 จากผู้ปฏิบัติงานและประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งเสียงส่วนใหญ่เป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า เห็นควรเสนอให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 และให้การทำความเห็นแย้งกลับมาเป็นหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัด ตามมาตรา 145 (เดิม) จะเหมาะสมกว่า
ดังนั้น ชมรมพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครอง จึงเห็นด้วยอย่างยิ่งกับการยกเลิกประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกลับมาเป็นผู้ทำความเห็นแย้ง ตามมาตรา 145 (เดิม) ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ประกอบเหตุผลสำคัญอื่น ๆ ดังนี้
1. ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 115/2557 ฯ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 เป็นการออกกฎหมายที่ไม่ผ่านการพิจารณาจาก ฝ่ายนิติบัญญัติและไม่มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างรอบด้าน
2. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 ลดจำนวนองค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลในกระบวนการยุติธรรมให้น้อยลง โดยขาดองค์กรที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดทำหน้าที่กลั่นกรองการสั่งไม่ฟ้องคดีของพนักงานอัยการ ซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของประชาชน
3. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 ส่งผลให้ฝ่ายตำรวจซึ่งเป็นผู้ทำสำนวนการสอบสวนและความเห็นทางคดีส่งพนักงานอัยการ มีหน้าที่ทำความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้อง ไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกา ฯลฯ ของพนักงานอัยการ ย่อมก่อให้เกิดความไม่เป็นกลางและขัดกับหลักการตรวจสอบ
ถ่วงดุล ซึ่งควรกระทำโดยหน่วยงานกลาง และผู้ว่าราชการจังหวัด (ผู้แทนหน่วยงานกลาง) เป็นบุคคลที่ไม่ได้มีส่วนได้เสียในทางคดีอาญาและมีความเหมาะสมตรงตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ดั่งที่ได้มีบัญญัติไว้แล้วในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145
4. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 ขัดแย้งต่อหลักการควบคุมตรวจสอบในกระบวนการยุติธรรม เนื่องจากปกติพนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจมีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานและเสนอความเห็นทางคดีส่งพนักงานอัยการ แต่การที่กำหนดให้ฝ่ายตำรวจทำหน้าที่แย้งคำสั่งไม่ฟ้อง ไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกา ฯลฯ ของพนักงานอัยการ อีกครั้งหนึ่ง จึงขัดแย้งต่อหลักการดังกล่าวเช่นเดียวกัน
5. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 ก่อให้เกิดความล่าช้าในการพิจารณาทำความเห็นแย้ง เนื่องจากสำนักงานตำรวจภูธรภาคมีเพียง 9 ภาค และบางพื้นที่อยู่ห่างไกลจากสำนักงานอัยการจังหวัดมาก จึงเกิดความสิ้นเปลืองและความล่าช้าในการเดินทางที่ไม่สะดวกต่อผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งหากเปรียบเทียบกับศาลากลางจังหวัดที่มีทั้ง 76 จังหวัด การเดินทางและการส่งสำนวนเป็นไปโดยสะดวก โดยผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถพิจารณาทำความเห็นทางคดีได้อย่างรวดเร็วและไม่มีข้อจำกัดแต่อย่างใด
6. การทำความเห็นแย้งของผู้ว่าราชการจังหวัด ถือเป็นการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน ตามกฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ดังนั้น การยกเลิกประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 จึงเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการภารกิจของผู้ว่าราชการจังหวัดในการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนโดยตรง
7. กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย มีการจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด/อำเภอ เพื่อช่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข และอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน ในทุกจังหวัดและทุกอำเภอ ทั่วประเทศไทย ดังนั้น การยกเลิกประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 ให้อำนาจการทำความเห็นแย้งกลับมาที่ผู้ว่าราชการจังหวัด ตามมาตรา 145 (เดิม) ประชาชนจึงมีช่องทางในการร้องขอความเป็นธรรมได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และไม่เสียค่าใช้จ่ายให้เกิดความเดือดร้อนแต่อย่างใด
8. ประชาชนมีความใกล้ชิดกับฝ่ายปกครอง (นายอำเภอ ปลัดอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ) และมีความเชื่อมั่นในคุณธรรม จริยธรรม และความซื่อสัตย์สุจริตของผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นอย่างมาก
9. การยกเลิกประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 ย่อมสอดคล้องกับมาตรา 68 และมาตรา 258 ง. (2) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย ซึ่งกำหนดให้รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ และให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็ว และไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงเกินสมควร อีกทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นคนกลางและไม่มีส่วนได้เสียทางคดี ย่อมปราศจากการแทรกแซงหรือการครอบงำ ที่จะสามารถดำรงความยุติธรรมให้กับประชาชนได้อย่างแท้จริง อีกทั้งการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรมต้องมีการปรับปรุงระบบการสอบสวนคดีอาญาให้มีการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างพนักงานสอบสวนกับพนักงานอัยการอย่างเหมาะสม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมให้กับประชาชน
โดยสรุป คือ ชมรมพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครอง ขอสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ยกเลิกมาตรา 145/1) ที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้ทำการศึกษา วิเคราะห์ และเสนอร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ขึ้นมาโดยตรงตามวิธีปฏิบัติของการเสนอร่างกฎหมาย อีกทั้งได้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้อง ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งชมรมพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครองเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า การยกเลิกมาตรา 145/1 จะทำให้ระบบการตรวจสอบถ่วงดุลในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาเป็นไปอย่างถูกต้อง เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน
ทั้งนี้ ชมรมพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครอง ยินดีที่จะสนับสนุนทุกภารกิจของกรมการปกครองในการ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ให้กับประชาชนอย่างยั่งยืนต่อไป |
7 | ด้วยชมรมพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครอง ได้สนับสนุนภารกิจของกรมการปกครองในทุกมิติ โดยเฉพาะในด้านการสืบสวนสอบสวนคดีอาญาเพื่ออำนวยความเป็นธรรมให้กับประชาชน ซึ่งในห้วงระยะเวลาที่ผ่านมา ชมรมพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครอง ได้ติดตามข่าวสารและร่วมแสดงความคิดเห็นในเรื่องสำคัญ ๆ เช่น ร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีอาญา พ.ศ. .... การสอบสวนคดีอาญาในอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครอง การที่พนักงานฝ่ายปกครองจับกุมปราบปรามผู้กระทำความผิดรายสำคัญในคดียาเสพติด คดีค้ามนุษย์ คดีการพนัน ฯลฯ รวมถึงการพัฒนาทักษะให้กับพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครอง (โครงการ DOPA SPECIAL AGENT) เป็นต้น ทั้งนี้ยังมีเรื่องสำคัญอีกประการหนึ่ง ซึ่งชมรมพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครองได้ติดตามมาโดยตลอดและได้ทราบอย่างเป็นทางการ ว่า กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้ดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (โดยเสนอขอยกเลิก มาตรา 145/1 ให้อำนาจการทำความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้อง ไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกา ฯลฯ ของพนักงานอัยการ กลับมาที่ผู้ว่าราชการจังหวัด) และขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็น ของผู้ที่เกี่ยวข้อง ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ผ่านทางเว็บไซต์ของกรมการปกครอง ตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563
ชมรมพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครอง จึงขอแสดงความคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การทำความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้อง ไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกา ฯลฯ ของพนักงานอัยการในทุกจังหวัดเป็นหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดมาโดยตลอด ตามหลักการ “ตรวจสอบถ่วงดุล” ซึ่งหลักการนี้เป็นหัวใจสำคัญในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 ต่อมาหลักการดังกล่าว ได้เปลี่ยนแปลงไปตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 115/2557 ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2557 แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 ให้เป็นอำนาจของผู้บัญชาการหรือ รองผู้บัญชาการ ซึ่งนอกจากจะไม่เป็นการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างพนักงานสอบสวนกับพนักงานอัยการอย่างเหมาะสมแล้ว ยังเป็นปัญหาและอุปสรรคหลายประการ ซึ่งกระทบต่อการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนโดยตรง
โดยเจตนารมณ์ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในเรื่องการทำความเห็นแย้ง ตามมาตรา 145 กฎหมายประสงค์ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งเป็นผู้บริหารสูงสุดในส่วนภูมิภาคในพื้นที่จังหวัด มีอำนาจหน้าที่โดยตรงตามกฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ที่ต้องดูแลให้มีการปฏิบัติและบังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยและเป็นธรรมในสังคม ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัด อยู่ในฐานะบุคคลที่มิได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียในผลแห่งคดี อันถือได้ว่าเป็นคนกลางระหว่างพนักงานสอบสวนกับพนักงานอัยการ ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้กำหนดให้อำนาจการสอบสวนและการฟ้องคดีเป็นอำนาจของรัฐ โดยให้อำนาจการสอบสวนอยู่กับพนักงานสอบสวนและอำนาจการฟ้องคดีอยู่กับพนักงานอัยการ โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นฝ่ายปกครองทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลการใช้ดุลพินิจคำสั่งไม่ฟ้อง ไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกา ฯลฯ ของพนักงานอัยการ ซึ่งเป็นการตรวจสอบถ่วงดุลตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพื่อให้คดีเกิดความยุติธรรมอันนำไปสู่ความเป็นธรรมในสังคมและเป็นที่ยอมรับของประชาชน
ซึ่งหลักการข้างต้นนี้เป็นความพยายามของระบบกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาทุกประเทศทั่วโลกที่จะต้องจัดความสมดุลระหว่างหลักการควบคุมอาชญากรรม (Crime Control Model) และหลักการควบคุมการใช้อำนาจรัฐ (Due Process Model) เพื่อให้เกิดการตรวจสอบถ่วงดุลอย่างเหมาะสม ป้องกันมิให้ใช้อำนาจตามอำเภอใจ อันจะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา แต่เมื่อมีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 ด้วยประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 115/2557 ฯ ซึ่งนอกจากจะเป็นการออกกฎหมายที่ไม่ผ่านการพิจารณาจากฝ่ายนิติบัญญัติแล้ว ยังไม่ได้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างรอบด้านอีกด้วย
นอกจากนี้ จะเห็นได้ชัดว่าคดีอาชญากรรมส่วนใหญ่ เป็นคดีร้ายแรงที่มีอัตราโทษสูง (เขตอำนาจศาลจังหวัด) มีผู้กระทำความผิดรายสำคัญและเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อย ของประชาชน โดยเจ้าพนักงานตำรวจเป็นผู้เริ่มต้นคดีและเป็นผู้ทำสำนวนการสอบสวนส่งความเห็นไปยังพนักงานอัยการก่อนที่จะนำคดีขึ้นสู่ศาล และหากพนักงานอัยการได้ใช้ดุลพินิจมีคำสั่งไม่ฟ้อง ไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกา ฯลฯ มาตรา 145/1 ให้อำนาจผู้บัญชาการหรือรองผู้บัญชาการ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ เป็นผู้ตรวจสอบคำสั่งของพนักงานอัยการอีกเป็นครั้งที่สอง ย่อมอาจเกิดความไม่เป็นกลาง ขัดกับหลักประกันความโปร่งใสของระบบการสอบสวนคดีอาญาและเป็นการทำลายหลักการตรวจสอบถ่วงดุลในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการให้มีการถ่วงดุลการใช้อำนาจรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ
ในภาพรวมของการศึกษาและการรวบรวมความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวได้มีหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านกฎหมายได้ทำการศึกษาและรวบรวม ความคิดเห็นต่อการบังคับใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 จากผู้ปฏิบัติงานและประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งเสียงส่วนใหญ่เป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า เห็นควรเสนอให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 และให้การทำความเห็นแย้งกลับมาเป็นหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัด ตามมาตรา 145 (เดิม) จะเหมาะสมกว่า
ดังนั้น ชมรมพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครอง จึงเห็นด้วยอย่างยิ่งกับการยกเลิกประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกลับมาเป็นผู้ทำความเห็นแย้ง ตามมาตรา 145 (เดิม) ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ประกอบเหตุผลสำคัญอื่น ๆ ดังนี้
1. ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 115/2557 ฯ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 เป็นการออกกฎหมายที่ไม่ผ่านการพิจารณาจาก ฝ่ายนิติบัญญัติและไม่มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างรอบด้าน
2. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 ลดจำนวนองค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลในกระบวนการยุติธรรมให้น้อยลง โดยขาดองค์กรที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดทำหน้าที่กลั่นกรองการสั่งไม่ฟ้องคดีของพนักงานอัยการ ซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของประชาชน
3. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 ส่งผลให้ฝ่ายตำรวจซึ่งเป็นผู้ทำสำนวนการสอบสวนและความเห็นทางคดีส่งพนักงานอัยการ มีหน้าที่ทำความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้อง ไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกา ฯลฯ ของพนักงานอัยการ ย่อมก่อให้เกิดความไม่เป็นกลางและขัดกับหลักการตรวจสอบ
ถ่วงดุล ซึ่งควรกระทำโดยหน่วยงานกลาง และผู้ว่าราชการจังหวัด (ผู้แทนหน่วยงานกลาง) เป็นบุคคลที่ไม่ได้มีส่วนได้เสียในทางคดีอาญาและมีความเหมาะสมตรงตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ดั่งที่ได้มีบัญญัติไว้แล้วในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145
4. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 ขัดแย้งต่อหลักการควบคุมตรวจสอบในกระบวนการยุติธรรม เนื่องจากปกติพนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจมีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานและเสนอความเห็นทางคดีส่งพนักงานอัยการ แต่การที่กำหนดให้ฝ่ายตำรวจทำหน้าที่แย้งคำสั่งไม่ฟ้อง ไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกา ฯลฯ ของพนักงานอัยการ อีกครั้งหนึ่ง จึงขัดแย้งต่อหลักการดังกล่าวเช่นเดียวกัน
5. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 ก่อให้เกิดความล่าช้าในการพิจารณาทำความเห็นแย้ง เนื่องจากสำนักงานตำรวจภูธรภาคมีเพียง 9 ภาค และบางพื้นที่อยู่ห่างไกลจากสำนักงานอัยการจังหวัดมาก จึงเกิดความสิ้นเปลืองและความล่าช้าในการเดินทางที่ไม่สะดวกต่อผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งหากเปรียบเทียบกับศาลากลางจังหวัดที่มีทั้ง 76 จังหวัด การเดินทางและการส่งสำนวนเป็นไปโดยสะดวก โดยผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถพิจารณาทำความเห็นทางคดีได้อย่างรวดเร็วและไม่มีข้อจำกัดแต่อย่างใด
6. การทำความเห็นแย้งของผู้ว่าราชการจังหวัด ถือเป็นการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน ตามกฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ดังนั้น การยกเลิกประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 จึงเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการภารกิจของผู้ว่าราชการจังหวัดในการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนโดยตรง
7. กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย มีการจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด/อำเภอ เพื่อช่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข และอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน ในทุกจังหวัดและทุกอำเภอ ทั่วประเทศไทย ดังนั้น การยกเลิกประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 ให้อำนาจการทำความเห็นแย้งกลับมาที่ผู้ว่าราชการจังหวัด ตามมาตรา 145 (เดิม) ประชาชนจึงมีช่องทางในการร้องขอความเป็นธรรมได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และไม่เสียค่าใช้จ่ายให้เกิดความเดือดร้อนแต่อย่างใด
8. ประชาชนมีความใกล้ชิดกับฝ่ายปกครอง (นายอำเภอ ปลัดอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ) และมีความเชื่อมั่นในคุณธรรม จริยธรรม และความซื่อสัตย์สุจริตของผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นอย่างมาก
9. การยกเลิกประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 ย่อมสอดคล้องกับมาตรา 68 และมาตรา 258 ง. (2) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย ซึ่งกำหนดให้รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ และให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็ว และไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงเกินสมควร อีกทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นคนกลางและไม่มีส่วนได้เสียทางคดี ย่อมปราศจากการแทรกแซงหรือการครอบงำ ที่จะสามารถดำรงความยุติธรรมให้กับประชาชนได้อย่างแท้จริง อีกทั้งการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรมต้องมีการปรับปรุงระบบการสอบสวนคดีอาญาให้มีการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างพนักงานสอบสวนกับพนักงานอัยการอย่างเหมาะสม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมให้กับประชาชน
โดยสรุป คือ ชมรมพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครอง ขอสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ยกเลิกมาตรา 145/1) ที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้ทำการศึกษา วิเคราะห์ และเสนอร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ขึ้นมาโดยตรงตามวิธีปฏิบัติของการเสนอร่างกฎหมาย อีกทั้งได้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้อง ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งชมรมพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครองเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า การยกเลิกมาตรา 145/1 จะทำให้ระบบการตรวจสอบถ่วงดุลในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาเป็นไปอย่างถูกต้อง เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน
ทั้งนี้ ชมรมพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครอง ยินดีที่จะสนับสนุนทุกภารกิจของกรมการปกครองในการ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ให้กับประชาชนอย่างยั่งยืนต่อไป |
8 | การอำนวยความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนไม่จำเป็นต้องเเย่งงานมาจากหน่วยงานอื่น และไม่จำเป็นต้องสาดโคลนใส่หน่วยงานอื่นว่าอำนวยความเป็นธรรมให้กับประชาชนไม่ได้ หากอำนวยความเป็นธรรมไม่ได้จริงขอให้กรมการปกครอง (กรมที่เอาแต่คิดว่าตนคือผู้วิเศษสามารถช่วยเหลือประชาชนได้ทุกอย่าง)ยกตัวอย่างให้รู้หน่อยว่า หน่วยงานอื่นอำนวยความเป็นธรรมไม่ได้อย่างไร มิใช่เอาแต่วลีว่าตนสามารถอำนวยความเป็นธรรมให้ประชาชนได้
- ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกมาตรา 145/1 แต่เห็นว่าควรตัดอำนาจผู้ว่าตาม 145 ไปเป็นอำนาจของสำนักงานอัยการภาคในแต่ละภาค
|
9 | ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขครับด้วยเหตุผลดังนี้
- ผู้ว่าราชการจังหวัด ส่วนใหญ่จบ รปศ / รศ มีเพียงส่วนน้อยที่จบนิติศาสตร์ ประกอบกับ ฝ่ายปกครองแทบจะนับจำนวนได้ที่เคยผ่านงานการทำสำนวนการสอบสวน จึงเรียกได้ว่า ฝ่ายปกครองแทบไม่มีความรุ้ความเข้าใจในการสอบสวนเลย เมื่อไม่เข้าใจแล้วจะอำนวยความเป็นธรรมในดัานนี้ได้อย่างไร
- การอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนปัจจุบัน มีอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายคอยช่วยเหลือประชาชนในเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ต่างๆ รวมถึงฟ้องคดีให้ด้วยต่างจากศูนย์ดำรงธรรมอำเภอต่างๆที่ไม่สามาารถช่วยเหลือประชาชนได้จริง ทำการไกล่เกลี่ยเพียงเพื่อเป็นหลักฐานในการเบิกค่าตอบแทนให้ตนเองเท่านั้น หากมีปัญหาจนถึงขั้นต้องฟ้องคดีสุดท้ายประชาชนก็ไปพึ่งอัยการคุ้มครองสิทธิเช่นเดิม หรือแม้กระทั้งยุติธรรมจังหวัดที่ช่วยเหลือประชาชนได้จริงและมีผลงานที่เป็นรูปธรรมได้จริง มิใช่ผลงานที่เกิดจากการเบิกจ่ายเงินค่าไกล่เกลี่ย
- บุคลากรของที่ทำการปกครองจังหวัดในแต่ละจังหวัดที่ทำหน้าที่ตรวจสำนวนให้ผู้ว่ามีเพียง 1 คน ที่เป็นนิติกรที่ทำหน้าที่ด้านนี้ ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่นิติกรคนเดียวจะกลั่นกรองงานให้ผู้ว่าได้ทั้งหมด (โดยเฉพาะจังหวัดใหญ่ๆ) ในทางตรงกันข้ามจะทำให้ไม่สามารถตรวจสำนวนได้ทัน การยกเลิกมาตรา 145/1 จึงก่อให้เกิดภาระแก่ผู้ทำหน้าที่ตรวจสำนวนมากกว่าการอำนวยความเป็นธรรมให้ประชาชน
-ปัจจุบันประเทศเดินทางไปสู่การกระจายอำนาจให้แก่ อปท ซึ่งภาระกิจต่างๆจะมีการถ่ายโอนไปสู่ท้องถิ่น ระบบกำนัน ผู้ใหญ่บ้านก้จะค่อย ๆ หายไป ในท้องถิ่นเทศบาลเมือง เทศบาลนคร แล้วเพราะเหตุใดกรมการปกครองจะกอดรัดอำนาจเช่นนั้น ซึ่งตนมิได้มีความเชี่ยวชาญมาไว้กับตนเอง เพราะสุดท้ายการกระจายอำนาจให้แก่ อปท ต้องสำเร็จ และบทบาทของกรมการปกครองก้จะไม่ต่างอะไรจาก กรม กระทรวงอื่น ๆ ที่มีหน้าที่เฉพาะตามภารกิจตนเอง ซึ่งภารกิจในการทำความเห้นแย้ง โดยเนื้อแท้ควรเป้นของอัยการสูงสุด ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ และมีอาวุโสกว่าพนักงานอัยการ ที่จะต้องตรวจสอบดุลพินิจของพนักงานอัยการ
- ทุกๆหน่วยงานล้วนสามารถอำนวยความเป็นธรรมให้กับประชาชนได้ทั้งสิ้น ไม่จำเป็นต้องเป็นกรมการปกครองเพียงอย่างเดียว ดังเช่นที่กรมการปกครองมักใช้กล่าวอ้าง และมักปลุกฝังความคิดเช่นนั้นให้ปลัดอำเภอ ซึ่งเป้นความคิดที่ไม่ถูกต้อง
- กรมการปกครองมักกล่าวอ้างว่า ตำรวจภูธรภาค อำนวยความเป็นธรรมไม่ได้ เพื่อเป็นเหตุผลในการยกเลิก มาตรา 145/1 ซึ่งเท่าที่สำนวนไปยุที่ตำรวจภูธรภาคก้ยังไม่มีกรณีใดที่เด่นชัดว่ามีความไม่เป็นธรรม เป็นแต่เพียงความรู้สึกของกรมการปกครองที่รู้สึกว่าตัวเองถูกเเย่งอำนาจ มิใช่ถูกเเย่งหน้าที่
-- อาศัยเหตุผลดังกล่าวจึงไม่เห็นด้วยกับการยกเลิก มาตรา 145/1
|
10 | ถ้ายึดหลักประชาชนเป็นหลัก ความสมดุลระหว่างหลักการควบคุมอาชญากรรม (Crime Control Model) และหลักการ
ควบคุมการใช้อำนาจรัฐ (Due Process Model) เพื่อให้เกิดการถ่วงดุลอย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นการป้องกันมิให้
ใช้อำนาจตามอำเภอใจ อันจะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ซึ่งตามหลัก
กฎหมายต้องการให้ใช้เหตุผลในการใช้อำนาจตรวจสอบ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามกฎหมาย |